• LOGIN
  • ไม่มีสินค้าในตะกร้า

ถือ KUB (Bitkub Coin) เพื่อเป็น Validator Node กับประเด็นในงบการเงิน (ตอนที่ 3) : ถือว่าซื้อ หรือไม่ได้ซื้อ – มุมมองที่แตกต่าง … อะไรทำให้มองต่าง ?

[ถือ KUB (Bitkub Coin) เพื่อเป็น Validator Node กับประเด็นในงบการเงิน (ตอนที่ 3) : ถือว่าซื้อ หรือไม่ได้ซื้อ – มุมมองที่แตกต่าง … อะไรทำให้มองต่าง ?]

เมื่อเราไล่เรียงบริษัทที่ได้ลงทุนใน KUB ซึ่งมีการรับประกันราคาซื้อคืนขั้นต่ำจากผู้ขายมาครบทั้ง 3 บริษัท (ANAN TVDH และ SIS) แล้ว สำหรับตอนนี้ก็คงมีประเด็นที่น่าพูดคุยกัน 3 เรื่อง คือ
.
1. ทำไมถึงไม่บันทึกเป็นสัญญาจัดหาเงิน (Financing Agreement) แบบ PROEN ?
.
2. ทำไมถึงไม่ตั้งด้อยค่า KUB แม้ว่าราคาตลาดจะลดลงไปอย่างมาก ?
.
3. สัญญาซื้อคืน ควรจะมองเป็น Derivative หรือไม่ ?

ทำไมถึงไม่บันทึกเป็นสัญญาจัดหาเงิน (Financing Agreement) แบบ PROEN ?
.

ก็ย้อนกลับมาที่ประเด็น Repurchase agreements แบบ Put option ว่าทำไมถึงไม่บันทึกเป็นสัญญาจัดหาเงิน (Financing Agreement) แบบ PROEN
.

คำอธิบายที่เป็นไปได้ในทางหลักการ (ขอย้ำว่าแค่หลักการ ยังไม่พูดถึง Fact นะครับ) คือ Repurchase agreements แบบ Put option กรณีที่ “ราคาซื้อคืนสินทรัพย์มีค่าเท่ากับหรือมากกว่าราคาขายเดิม” ดังกล่าวนั้น ต้องมีเงื่อนไขอีก 2 ข้อ ถึงจะมองว่าเป็น “การขาย” ได้ คือ
.

1. ราคาซื้อคืนสินทรัพย์มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับมูลค่าตลาดที่คาดไว้ของสินทรัพย์ (พูดง่ายๆ คือ ราคาตลาดที่คาดไว้ น่าจะสูงกว่าหรือเท่ากับราคาที่บริษัทเข้าลงทุน)
.

2. ลูกค้า (ซึ่งก็คือ ANAN / TVDH / SIS) ไม่มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญที่จะใช้สิทธินั้น (พูดง่ายๆ คือ ANAN / TVDH / SIS คงไม่ได้ขายคืน KUB ให้ Bitkub)
.

หากเข้าเงื่อนไขทั้งหมดก็ถือเป็นการ “ขาย” สินทรัพย์ ที่พ่วงด้วยการให้สิทธิในการคืน
.

ก็น่าจะหมายความว่าบริษัทเหล่านี้ อย่างน้อยน่าจะคาดว่าราคาตลาดของ KUB น่าจะสูงกว่าหรือเท่ากับราคาที่บริษัทเข้าลงทุน และบริษัทที่เหล่านี้ก็น่าจะคิดว่าหลัง Staking Period ก็คงไม่ได้ขาย KUB คืนให้ Bitkub
.

จึงทำให้มองว่ารายการดังกล่าวนั้น เป็นการขาย KUB และตนเองในฐานะผู้ซื้อก็ได้ “ควบคุม” KUB ไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
.

อย่างไรก็ดีมีประเด็นที่น่าคิดคือ ด้วยรูปแบบราคา KUB ในช่วงไตรมาส 2 จะเห็นได้ว่าราคาปิด ณ สิ้นไตรมาส 2 ของ KUB มีระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาที่แต่ละบริษัทลงทุนไป (ซึ่งก็คือราคาซื้อคืน) ทั้งสิ้น กล่าวคือ สำหรับ ANAN ราคา KUB ณ สิ้นไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงกว่า 66% จากราคาซื้อ สำหรับ TVDH ราคา KUB ณ สิ้นไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงไปกว่า 11% จากราคาซื้อ และสำหรับ SIS ราคา KUB ณ สิ้นไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงไปกว่า 66% จากราคาซื้อ
.

เช่นนี้แล้ว คำถามที่ตามมาคือ ความสมเหตุสมผลในการประเมินเงื่อนไขทั้ง 2 ประเด็น คือ ราคาซื้อคืนสินทรัพย์มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับมูลค่าตลาดที่คาดไว้ของสินทรัพย์ (ตามข้อ 1) รวมไปถึงลูกค้าไม่มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญที่จะใช้สิทธิขายคืนดังกล่าว (ตามข้อ 2)
.

การใช้ Judgement ในประเด็นดังกล่าว มีความสำคัญอย่างมากต่อการพิจารณาว่ามีการโอน “Control” หรือไม่ ภายใต้ Repurchase agreements ตามที่ท้ายบทความในตอนที่ 1 ได้เคยปิดท้ายไว้ว่า “ก่อนจะ Dr. Assets เข้างบ ให้ดูก่อนว่า เรามี Control ใน Assets ชิ้นนั้นๆ จริงหรือไม่”
.

ก่อนจบท้ายในประเด็นนี้ ก็คงต้องบอกว่า แม้ว่าเรื่องการประเมิน Control ใน Assets จะดูเป็นเรื่องที่ซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อต้องพิจารณาร่วมกับประเด็นที่เฉพาะเจาะจงในเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่อง Repurchase agreements แต่แอดก็ค่อนข้างเชื่อว่าหลายๆ บริษัทก็น่าจะได้เจอสถานการณ์ที่ต้องใช้ดุลยพินิจเช่นว่านี้อยู่แล้วบ้างไม่มากก็น้อย

.

ตัวอย่างเช่น ในไตรมาส 2 ปี 2565 ANAN ได้เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาระผูกพันเกี่ยวกับการซื้อคืนที่ดินระหว่างพัฒนาโครงการ ไว้ว่า “ในปี 2550 บริษัทย่อยได้ทำสัญญาขายที่ดินระหว่างพัฒนาโครงการพร้อมกับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุคคลภายนอกเป็นจำนวนเงินรวม 30 ล้านบาท โดยบุคคลภายนอกดังกล่าวมีข้อตกลงกับบริษัทย่อยเพื่อให้บริษัทย่อยสามารถซื้อที่ดินดังกล่าวคืนได้ในอนาคตในราคารวมไม่ต่ำกว่า 33 ล้านบาท ปัจจุบัน ที่ดินดังกล่าวยังคงอยู่ในความควบคุมดูแลของบริษัทย่อย ดังนั้น บริษัทย่อยจึงไม่บันทึกรับรู้รายได้และต้นทุนขายที่เกี่ยวข้องกับการขายดังกล่าวในงบการเงิน บริษัทย่อยยังไม่ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวคืน โดยที่ดินดังกล่าวได้แสดงรวมเป็นส่วนหนึ่งของรายการต้นทุนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และที่ดินรอการพัฒนาในงบแสดงฐานะการเงินรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 และ 31 ธันวาคม 2564” เป็นต้น

ทำไมถึงไม่ตั้งด้อยค่า KUB แม้ว่าราคาตลาดจะลดลงไปอย่างมาก ?
.

อีกประเด็นที่น่าสนใจ หากเรามองข้ามเรื่องควรบันทึก/ไม่บันทึกเหรียญ KUB เป็น Assets ในงบการเงินหรือไม่ออกไปก่อน โดยตั้งต้นว่าบริษัทได้พิจารณาแล้วว่า KUB นั้นเป็นสินทรัพย์ของกิจการเนื่องจากกิจการมี “การควบคุม” ในเหรียญ KUB แน่ๆ
.

ประเด็นที่น่าสังเกตคือ ทั้ง 3 บริษัทนั้น ได้คงมูลค่าของ KUB (ที่เข้าโครงการรับประกันราคาซื้อคืน) ไว้เท่ากับมูลค่าที่ซื้อมา หรือหากจะมี Impairment ก็ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับราคาตลาดของ KUB ที่ได้ปรับตัวลดลงอย่างมากก็ตาม
.

แม้ว่าบางบริษัทอย่าง TVDH จะได้อธิบายไว้ว่า “ทุกวันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กลุ่มกิจการจะทำการประเมินการด้อยค่าของสินทรัพย์สกุลเงินดิจิทัลโดยจะบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าเมื่อมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สกุลเงินดิจิทัลสูงกว่ามูลค่ายุติธรรม ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ซึ่งมูลค่ายุติธรรมวัดจากราคาปิด ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงานจาก www.coinmarketcap.com” ก็ตาม …. แต่ก็ยังคงมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายการบัญชีที่ได้อธิบายไว้ (ว่าหาก Book สูงกว่า Market Value เมื่อใดจะเกิดการด้อยค่า) กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามงบการเงิน (ไม่มีการกล่าวถึงการบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่า แม้ว่าราคา KUB ในตลาด ณ สิ้นไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงไปกว่า 8% จากราคาซื้อ)
.

ซึ่งแนวทางการเปรียบเทียบ มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สกุลเงินดิจิทัล กับมูลค่ายุติธรรม เพียง 2 ตัวสำหรับการคำนวณผลขาดทุนจากการด้อยค่านั้น มักจะถูกกล่าวถึงค่อนข้างกว้างขวางในทางปฏิบัติสำหรับการคำนวณผลขาดทุนจากการด้อยของสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากโดยลักษณะของสินทรัพย์ดิจิทัล (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบ Cryptocurrency) นั้น มักไม่มีประโยชน์อื่นใดนอกจากมูลค่าที่ได้รับจากการขาย ทำให้การวัดมูลค่า Value in Use ค่อนข้างไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ จึงทำให้การคำนวณผลขาดทุนจากการด้อยค่าในทางปฏิบัตินั้นมักจะต้องพึงพิงกับมูลค่ายุติธรรมเป็นหลัก
.

อย่างไรก็ดีแนวทางการเปรียบเทียบดังกล่าว (ที่ไม่สนใจ VIU เลย) อาจไม่สามารถใช้ได้กับกรณีนี้ที่มีการรับประกันราคาซื้อคืน
.

คำอธิบายที่เป็นไปได้ในทางหลักการที่ทั้ง 3 บริษัท ได้คงมูลค่าของ KUB (ที่เข้าโครงการรับประกันราคาซื้อคืน) ไว้เท่ากับมูลค่าที่ซื้อมา หรือหากจะมี Impairment ก็ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับราคาตลาดของ KUB ที่ได้ปรับตัวลดลงอย่างมากก็ตาม ก็คือได้มองว่าราคาที่ผู้ขายเดิมจะรับซื้อคืนนั้น คือส่วนหนึ่งของการคำนวณ Value in Use
.

(เนื่องจาก Value in Use ต้องมีการประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการคาดว่าจะได้รับจากสินทรัพย์ ซึ่งกระแสเงินสดสุทธิที่จะได้รับ (หรือที่จะต้องจ่าย) จากการจำหน่ายสินทรัพย์นั้นเมื่อสิ้นอายุการใช้ประโยชน์ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของประมาณการกระแสเงินสดดังกล่าวด้วย ซึ่งมูลค่าที่จะขายคืนให้กับผู้ขายนั้นถือว่าสะท้อนถึงผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลเฉพาะเจาะจงต่อกิจการและไม่ได้ส่งผลกับกิจการอื่นทั่วไป ในประเด็นสิทธิทางกฎหมายหรือข้อจำกัดทางกฎหมายที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเจ้าของสินทรัพย์ในปัจจุบัน)
.

ดังนั้นเมื่อราคาที่ผู้ขายเดิม สัญญาที่จะรับซื้อคืน มีมูลค่าเท่ากับมูลค่าตามบัญชี KUB (ที่ซื้อมา)
.

สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเหรียญ KUB ก็ไม่ควรเกิดการด้อยค่า แม้ว่าราคาตลาดจะปรับลดลงอย่างมากก็ตาม เพราะอย่างไรเสียก็สามารถขายคืนได้ในราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาที่ได้จ่ายซื้อมาแน่ๆ
.

หรืออธิบายแบบใช้ศัพท์ตาม TAS 36 ก็คงเป็นว่า ในภาวะที่ราคา KUB ตกลงอย่างมากใน Q2/2565 มูลค่า VIU นั้นสูงกว่า FV Less Costs of Disposal ดังนั้น VIU จึงถือเป็น Recoverable Amount และ Recoverable Amount ดังกล่าวก็เท่ากับราคาทุนที่จ่ายซื้อมาอยู่แล้ว จึงไม่ต้องตั้ง Impairment

สัญญาซื้อคืน ควรจะมองเป็น Derivative หรือไม่ ?
.

ตามที่ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนที่ 1 ของบทความนี้ ว่าก็มีบางแนวคิดที่ว่า ควรลงบัญชี KUB เป็นสินทรัพย์ (เช่น สินค้าคงเหลือ หรือสินทรัพย์ไม่มีตัวตน) แล้วก็ปรับลดมูลค่าลงตามภาวะตลาด ในขณะที่สัญญาการรับประกันการซื้อคืน ก็ให้มองเป็นอนุพันธ์ (Derivative) ตัวหนึ่ง
.

ประเด็นคือ สัญญาซื้อคืน ควรจะมองเป็น Derivative หรือไม่
.

หากเราตั้งต้นว่าบริษัทได้พิจารณาแล้วว่า KUB นั้นเป็นสินทรัพย์ของกิจการเนื่องจากกิจการมี “การควบคุม” ในเหรียญ KUB แน่ๆ แล้ว … สัญญาซื้อคืนดังกล่าว หากมองในฝั่งบริษัทที่ถือ KUB อยู่ก็เปรียบได้กับ
.

“สัญญาที่จะขาย KUB ในอนาคตอีก 1 ปีข้างหน้าด้วยราคา Fixed” (แบบผู้ขายยกเลิกได้) นั่นเอง
.

ผลลัพธ์ คือการ Fix ราคาขายในอนาคต (ไม่ว่าราคาตลาดจะเป็นเท่าใดก็ตาม) จึงทำให้ “ดูเหมือน” เข้าลักษณะของอนุพันธ์ (Derivative) กล่าวคือ
.

1. มูลค่าเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรที่ระบุไว้ (อาจมีบางมุมมองว่า Intrinsic Value ของ สัญญา โดยหลักใหญ่ใจความก็คือผลต่างระหว่างราคาขายกับราคาตลาด ยิ่งราคาตลาดลดลงมากกว่าราคาขายมากเท่าใด สัญญานี้ก็ดูเหมือนจะมี Value เมื่อเทียบกับตลาด มากขึ้นในมุมของผู้ขาย)
.

2. ไม่มีการจ่ายเงินลงทุนสุทธิเมื่อเริ่มแรก (ไม่มีการจ่ายอะไรเพิ่มเติมสำหรับการทำสัญญาซื้อคืน)
.

3. การรับหรือจ่ายชำระจะกระทำในอนาคต (ซึ่งก็คือต้องจ่ายชำระด้วยราคาที่ Fix กันไว้ในอีก 1 ปีข้างหน้า)
.

อย่างไรก็ดีสัญญาขาย KUB (คืน) ดังกล่าวนั้น มี Underlying คือ KUB ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงิน (ตามตัวอย่างของทั้ง 3 บริษัทมองว่าเป็น สินทรัพย์ไม่มีตัวตน) ซึ่งจะส่งผลให้สัญญาขาย KUB (คืน) นั้นไม่ได้ถูกมองเป็นเครื่องมือทางการเงิน (Financial Instrument)
.

เนื่องจากสัญญาดังกล่าวเป็นเพียงการรับ/ส่งมอบสินทรัพย์ไม่มีตัวตนในอนาคต
.

หรือในอีกมุมมองหนึ่ง คือ การทำสัญญาขาย KUB (คืน) ยังไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิ (หรือภาระ) ในการรับ (จ่าย) “เงินสด” หรือ “สินทรัพย์ทางการเงิน” เมื่อเข้าทำสัญญาขาย KUB (คืน)
.

(แต่หากส่งมอบ/โอนการควบคุมในสินทรัพย์กันแล้วเสร็จ แต่ยังไม่ได้จ่ายชำระเงินกัน ก็จึงค่อยเกิด Financial Instrument ในรูปแบบเจ้าหนี้-ลูกหนี้ค่าซื้อสินทรัพย์ ตามขึ้นมาใน Step ดังกล่าว)
.

ซึ่งโดยขอบเขตของ TFRS 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน ระบุไว้ชัดเจนโดยสรุปใจความของหลักการ คือ ไม่ถือปฏิบัติกับสัญญาที่จะซื้อหรือจะขายรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงิน (contracts to buy or sell a non-financial item) ที่สามารถชำระสุทธิเป็นเงินสดหรือเครื่องมือทางการเงินอื่นหรือโดยการแลกเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงิน เสมือนว่าสัญญาดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งสัญญาดังกล่าวทำขึ้นและถือไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับหรือส่งมอบรายการที่ไม่ใช่รายการทางการเงินตามข้อกำหนดการใช้ การขาย หรือการซื้อที่คาดการณ์ของกิจการ (หรือที่เรียกว่า own use) (อาจมีข้อยกเว้นกรณีที่กิจการกำหนดให้วัดมูลค่าสัญญาดังกล่าวด้วย FVTPL กรณีที่เกิด Accounting Mismatch)
.

ดังนั้นจึงหมายความว่า แม้จะ “ดูเหมือน” เข้าลักษณะของ Derivative แต่ไม่ถือว่าอยู่ใน Scope ตาม TFRS 9 เนื่องจากโดย Nature ของสัญญานั้นไม่ได้มีความเป็น Financial Instrument นั่นเอง
.

ถ้ายกตัวอย่างถึงสัญญาที่ไม่อยู่ใน Scope นี้คือยังไง ตัวอย่างง่ายๆ คือ หากบริษัทได้ทำสัญญาซื้อ PPE / Intangible Assets ไว้เพื่อใช้งานในกิจการเอง ในช่วงต้นปี ที่ราคา 100 แต่ตอนโอน/รับรู้ PPE / Intangible Assets จริงในช่วงปลายปี ราคา “ตลาด” กลายเป็น 130
.

โดยปกติทั่วไป (ยกเว้นใช้ Hedge Accounting) บริษัทก็ไม่ได้ต้องมาละเมียดหรือคิดเยอะที่จะ Mark-to-market Opportunity Gain ยอด 30 (130 – 100) ดังกล่าว (หรือในฝั่งสัญญาขายก็เช่นเดียวกัน) ฉันใดก็ฉันนั้น
.

หรือในอีกมุมมองหนึ่งคือ การที่ราคาตลาดกลายเป็น 130 นั้น ผู้ซื้อ PPE / Intangible Assets ก็ไม่ได้มีสิทธิได้รับเงินสด จำนวน 30 บาทจากผู้ขาย PPE / Intangible Assets แต่อย่างไร แต่สิ่งที่จะได้รับคือ ตัว PPE / Intangible Assets
.

ที่เป็นแบบนี้เพราะหลักใหญ่ใจความสำหรับการรับรู้สินทรัพย์ ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงินอย่าง PPE หรือ Intangible Assets เมื่อเริ่มแรก คือ การรับรู้ที่ราคาทุนหรือราคาจ่ายซื้อ … ไม่ใช่ที่มูลค่ายุติธรรม หรือราคาตลาด ณ วันที่รับรู้สินทรัพย์ (หรือสำหรับสัญญาฝั่งขาย บริษัทจะรับรู้กำไรขาดทุนจากการขายด้วยผลต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีกับราคาขาย ไม่ใช่ผลต่างที่เทียบกับมูลค่ายุติธรรม)
.

ก็คงเป็นคำอธิบายขยายความ (จากมุมคนนอก) ให้เห็นว่า เหตุใดทั้ง 3 บริษัทจึงไม่ได้มอง สัญญาซื้อคืนเป็น Derivative แยกออกมาต่างหากนั่นเอง
.

แต่หากแอดลองดัด Fact เป็นว่า บริษัทถือเหรียญ KUB อยู่แล้วที่ต้นทุน 250 แล้วไปทำสัญญาประกันราคา KUB กับบริษัทแห่งหนึ่ง โดยเงื่อนไขคือ เมื่อครบ 1 ปี บริษัทที่รับทำสัญญาประกันราคาจะรับ/จ่ายส่วนต่างระหว่างราคาตลาด ณ วันสิ้นสุดสัญญา กับต้นทุนที่ 250 (เช่นหากราคาตลาดต่ำกว่า 250 เช่นกลายเป็น 200 บาท บริษัทก็จะได้รับชดเชยมาที่ 50 บาทเป็นเงินสด) โดยไม่มีการส่งมอบเหรียญ KUB แต่อย่างใด เช่นว่านี้สัญญาประกันราคาดังกล่าวถือว่าเข้านิยามของอนุพันธ์และอยู่ใน Scope ของ TFRS 9
.

เพราะสัญญาดังกล่าวก่อให้เกิดสิทธิและภาระผูกพันที่จะได้รับและจ่ายชำระส่วนต่างราคาด้วยเงินระหว่างคู่สัญญา หรือพูดอีกนัยคือทันทีที่ทำสัญญาแล้วเสร็จ หากราคา KUB ในตลาด (หรือถ้าให้ถูกเป๊ะ ต้องใช้คำว่าราคา Forward ของ KUB) เปลี่ยนแปลงไป ย่อมส่งผลให้คู่สัญญาฝั่งหนึ่งมีภาระที่ต้องจ่ายเงิน และอีกฝั่งหนึ่งมีสิทธิที่จะได้รับเงินทันทีนั่นเอง
.

ซึ่งรายการอนุพันธ์ที่อ้างอิงราคา Digital Assets นั้นก็มีอยู่จริงโดยแพร่หลายใน Digital Assets Exchange ในต่างประเทศ
.

อย่างไรก็ดีคงต้องย้ำว่า ประเด็น “ทำไมถึงไม่ตั้งด้อยค่า KUB แม้ว่าราคาตลาดจะลดลงไปอย่างมาก ?” และ “สัญญาซื้อคืน ควรจะมองเป็น Derivative หรือไม่ ?” นั้นได้อธิบายบน Assumption ว่า กิจการมี “การควบคุม” ในเหรียญ KUB นะครับ
.

ทั้งนี้ประเด็นที่ใหญ่กว่าทั้ง 2 คำถาม และเป็นเรื่องที่ต้องใช้ Judgement ค่อนข้างมากตามที่ได้กล่าวไปตั้งแต่ตอนที่ 1 คือ “บริษัทได้ควบคุมเหรียญ KUB จริงๆ หรือไม่”
.

บทความนี้ไม่ได้ชี้นำ ให้คำแนะนำ รวมถึงไม่ใช่เป็นการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ การซื้อขายหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ดิจิทัล โปรดศึกษาข้อมูลจากบริษัทอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจลงทุนครับ

กันยายน 11, 2022
© 2022 Accounting-Analysis.com All rights reserved.
0
    0
    ตะกร้าสินค้า
    ตะกร้าสินค้าว่างเปล่าย้อนกลับ