จากที่แอดได้เคยเขียนบทความ เรื่อง “MINT ยังคงใช้ข้อผ่อนปรนทางบัญชี COVID-19 แต่สิ่งที่ผู้บริหารให้ข้อมูลเพิ่มเติม คือ …” https://www.facebook.com/accountinganalysisTH/posts/780510959221381
.
โดยเรื่องราวตอนที่แล้วเราก็ได้พูดคุยกันว่า MINT ยังคงใช้มาตรการผ่อนปรนทางบัญชี COVID-19 สำหรับการจัดทำงบการเงินปี 2563 เช่น ไม่นำข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 มาเป็นข้อบ่งชี้ในการด้อยค่าและไม่นำมากระทบต่อการพยากรณ์ทางการเงินในอนาคตที่ใช้ประกอบการทดสอบการด้อยค่าของที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ค่าความนิยมและเครื่องหมายการค้า เป็นต้น
.
และ MINT ก็ได้เปิดเผยข้อมูลทิ้งท้ายไว้ให้ผู้ใช้งบการเงินจินตนาการภาพที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 ไว้ว่า “กลุ่มกิจการคาดการณ์ว่าภายหลังจากที่ยุติการใช้มาตรการผ่อนปรนชั่วคราว ซึ่งสิ้นสุดภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 อาจมีผลกระทบต่อมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ในงบการเงินที่มีการใช้ข้อผ่อนปรนดังกล่าว ผู้บริหารอยู่ในระหว่างการประเมินผลกระทบ ซึ่งจะบันทึกในรอบระยะเวลารายงานงวดถัดไป อย่างไรก็ตาม กลุ่มกิจการอยู่ในระหว่างการดำเนินการเพื่อให้ไม่ต้องรวมผลผลกระทบจากการด้อยค่าในการคำนวณสัดส่วนทางการเงินในรอบระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า”
.
และเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา MINT ก็ได้ประกาศงบการเงิน Q1/2564 โดยมีขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 7,250 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิใน Q1/2563 ที่ 1,774 ล้านบาท หรือขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกกว่า 3 เท่าตัว !!!
.
นอกจากผลประกอบการจะลดลงจากขาดทุนจากการดำเนินงาน (ที่ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว) ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ก็ยังลดลงจากรายการพิเศษต่างๆ อีกด้วย
.
แน่นอนว่ารายการขาดทุนจากการด้อยค่าก็เป็นหนึ่งใน Item ที่แอดจับตามองอยู่ครับ
.
และก็ไม่ผิดคาด
.
MINT ได้เปิดเผยข้อมูล ในงบ Q1/2564 ไว้ว่า “ในปี พ.ศ. 2563 กลุ่มกิจการได้เลือกปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนชั่วคราวเพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ประกาศโดยสภาวิชาชีพบัญชี กลุ่มกิจการเลือกไม่นำข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 มาเป็นข้อบ่งชี้ในการด้อยค่าและไม่นำมากระทบต่อการพยากรณ์ทางการเงินในอนาคตที่ใช้ประกอบการทดสอบการด้อยค่าของสินทรัพย์ภายใต้มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 36 เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์ มาตรการผ่อนปรนชั่วคราวดังกล่าวได้สิ้นสุดแล้วในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563
.
เริ่มจากวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 กลุ่มกิจการหยุดใช้มาตรการผ่อนปรนชั่วคราวดังกล่าวและกลับมาใช้มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 36 บริษัทรับรู้ผลกระทบจากการด้อยค่าเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ และสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เป็นจำนวนรวม 2,350 ล้านบาท ในงวดปัจจุบัน”
.
ก็เป็นอันว่าเมื่อ MINT ยุติการใช้ข้อผ่อนปรนทางบัญชี COVID-19 แล้ว ก็มีผลกระทบเป็นฝั่งค่าใช้จ่าย 2,350 ล้านบาท (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) โดยรับรู้ใน Q1/2564 และก็ถือได้ว่าส่งผลกระทบต่อผลประกอบการค่อนข้างมากเลยทีเดียว
.
เรื่องนี้ทำให้เห็นถึงความสำคัญของ Wording เล็กๆ ที่ผู้บริหารได้ทิ้งท้ายไว้ตั้งแต่งบการเงินในไตรมาสที่แล้ว แม้จะออกตัวว่า “ผู้บริหารอยู่ในระหว่างการประเมินผลกระทบ ซึ่งจะบันทึกในรอบระยะเวลารายงานงวดถัดไป” ก็ตาม
.
นอกจากนี้แล้วก็มีประเด็นเรื่อง Timing ของการรับรู้ผลกระทบจากการยุติการใช้ข้อผ่อนปรนทางบัญชี COVID-19 ที่อาจมีความแตกต่างกัน อย่าง MINT ก็ได้รับรู้ผลกระทบดังกล่าวใน Q1/2564 แต่ในขณะเดียวกันบริษัทที่มีธุรกิจที่คล้ายๆ กันอย่าง CENTEL กลับรับรู้ผลกระทบดังกล่าวไปตั้งแต่ Q4/2563 ไปเรียบร้อย…ดังนั้นในปีสองปี (งบเปรียบเทียบ) นี้ ก็อาจต้องระมัดระวังการเปรียบเทียบผลประกอบการที่บางบริษัทมี Timing ในการรับรู้ผลกระทบจากการยุติการใช้ข้อผ่อนปรนทางบัญชี COVID-19 ที่ไม่ตรงกับบริษัทอื่น
.
จริงๆ ก็เคยมีการพูดคุยกันตั้งแต่งบการเงินปีที่แล้ว (ปี 2563) ว่า หากบริษัทต่างๆ เลือกที่จะรับรู้ผลกระทบจากการยุติการใช้ข้อผ่อนปรนทางบัญชี COVID-19 ในปี 2564 นั้น ก็อาจจะมีความแปลกสักเล็กน้อย ทั้งในเชิงภาพของงบการเงินที่ควรจะเป็น รวมทั้งการเปรียบเทียบกับงบการเงินในประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีมาตรการผ่อนปรนฯ แบบเดียวกับประเทศไทย
.
เพราะจะกลายเป็นว่าบริษัทจะรับรู้ผลกระทบช้ากว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ หากในอนาคต (ณ เวลานั้น) สถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น แต่เราก็อาจจะเห็นภาพที่บริษัทยังคงรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าจาก COVID-19 อยู่ … ก็อาจจะมีความอิหลักอิเหลื่อในการอธิบายผลประกอบการอยู่มากเลยทีเดียว
.
อย่างไรก็ดีสำหรับประเทศไทยในช่วง Q1/2564 รวมไปถึงเดือน เม.ย. และต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา สถานการณ์ COVID-19 ก็ดูมีแนวโน้มไม่สู้ดีนัก ก็ถือว่าการรับรู้ผลกระทบจากการยุติการใช้ข้อผ่อนปรนทางบัญชี COVID-19 ในช่วงปี 2564 นั้นก็ยังพอจะมี Ground ในด้านสถานการณ์ต่างๆ ที่ยังคงเกิดขึ้นจริง และพอจะช่วยอธิบายผลกระทบต่องบการเงินดังกล่าวได้บ้าง
.
และสุดท้าย ราคาหุ้น MINT วันนี้ปิดที่ 28.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.88% แม้ว่าจะรายงานผลประกอบการขาดทุนถึง 7,250 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ ท่ามกลางตลาดหุ้นที่ดิ่งลงดิ่งขึ้นอย่างกับรถไฟเหาะ และปิดตลาดติดลบไป 23.72 จุดก็ตาม
.
บทความนี้ไม่ได้ชี้นำหรือให้คำแนะนำการซื้อขายหลักทรัพย์ โปรดศึกษาข้อมูลจากบริษัทอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจลงทุนครับ